“ดอยเต่า” ถ้าย้อนอดีตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน หลายคนคงรู้จักวงดนตรี “นกแล “ วงดนตรีของเด็กๆชาวเขาจากอำเภอดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ที่โชว์ความสามารถจนโด่งดังทั่วประเทศมาแล้ว ดอยเต่าในเวลานั้นยังเป็นชุมชนของชาวเขาอพยพที่อยู่ห่างไกลสังคมเมือง การคมนาคมยังไม่สะดวก จะเรียกว่าเป็นถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลระดับต้นๆของจังหวัดเชียงใหม่ก็คงไม่ผิดนัก

ถือเป็นแหล่งต้นน้ำของเขื่อน หรือถ้าเป็นถนนก็ต้องบอกว่า ดอยเต่าเป็นหลัก
กิโลเมตรหลักแรกของทะเลสาบเหนือเขื่อน และเป็นต้นน้ำของลำน้ำปิง โดยมี
หลักสุดท้ายอยู่ปลายสุดที่จังหวัดตาก
ชาวเขาซึ่งอาศัยอยู่ในที่ลุ่มของอ่างเก็บน้ำได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากอยู่
บนที่สูงเหนือเขื่อน ตามนโยบายของรัฐบาลเมื่อปี พ.ศ. 2510 ซึ่งขณะนั้นมี
อาชีพปลูกพืชผักสวนครัวตามเชิงเขาริมน้ำ
ต่อมาในระยะหลังๆราวปี 2542 เป็นต้นมา มีฝนตกชุกตามปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้น้ำในอ่างมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น จนท่วมบริเวณแปลง
เพาะปลูก การจับปลาในทะเลสาบจึงกลายเป็นอาชีพหลัก โดยมีร้านอาหารบนแพ และแพที่พัก เป็นธุรกิจ
ี่ที่ติดตามมาพร้อมๆกับการท่องเที่ยว
31 ธันวาคม 2543 เป็นวันที่ผมและญาติๆเดินทางมาเที่ยวดอยเต่า เหตุที่เลือกมาที่นี่ก็เพราะก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสลิ้มรส
ปลากรอบ ที่พี่สาวซื้อมาฝากจากเชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นยังแปลกใจเหมือนกันว่าทางภาคเหนือมีปลากรอบขายเป็นล่ำเป็นสันเหมือนกับจังหวัดอื่น เช่นที่สิงห์บุรีด้วยหรือ
และหลังจากทานจนติดใจแล้ว ปลากรอบและดอยเต่า จึงเป็นเรื่องราวของบทสนทนาในคืนวันนั้น
”พี่ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว ครั้งแรกที่ไปถนนหนทางยังไม่ดี นั่งรถไปก็กินฝุ่นไปตลอดทาง อำเภอดอยเต่าอยู่ไกลมาก และใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะถึง ”
”แต่เดี๋ยวนี้ได้ยินว่า เป็นถนนลาดยางตลอดและเชื่อมต่อไปจนถึงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และมีทางแยกออกไปทางอำเภอลี้
จังหวัด ลำพูนได้”
ผมได้ยินคำว่าอำเภอลี้ในจังหวัดลำพูน มานานหลายปีทีเดียว รู้มาแต่เด็กแล้วว่าเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกล เหมือนเป็นดินแดนที่อยู่ลี้ลับ ต้องข้ามภูเขากันหลายลูกและทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะไปถึง แต่เดี๋ยวนี้ได้ตัดถนนใหม่ ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น และไม่นานมานี้ ก็ได้ยินจากพรรคพวกที่เคยผ่านไปเส้นนี้เล่าให้ฟังว่า ถ้าอยากเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของถนนสายเก่านี้ ก็ต้องขับรถจากเชียงใหม่ มาตามถนนสายจอมทอง ผ่านลี้ แล้วเข้าอำเภอเถินของจังหวัดลำปาง จากนั้นก็เข้าถนนสายเอเชียมุ่งลงใต้มายังกรุงเทพได้
”แล้วบรรยากาศแถวๆนั้นเป็นยังไงบ้าง” ผมถามต่อเพื่ออยากรู้ เผื่อจะได้ไปเที่ยวในช่วงปีใหม่
ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน
”พี่ไม่ได้ไปนานแล้วนะ แต่คนรู้จักที่เอาปลากรอบมาให้ เค้าบอกว่า แถวบริเวณนั้นเป็นแพริมน้ำเหมือนชนบท มีแพร้านอาหาร มีร้าน
ขายปลาแห้ง และปลาสดเป็นๆจากเขื่อน ร้านอาหารบนแพก็มีหลายร้าน ส่วนใหญ่ก็เป็นเมนูอาหารปลาจากทะเลสาบ และเดี๋ยวนี้มี แพที่พักให้นอนค้างกลางทะเลสาบได้ด้วย "

”น่าสนใจไม่น้อยกับการนอนแพ ในช่วงฤดูหนาวสิ้นปีนี้ “
ผมนึกมโนภาพไปว่า ที่ดอยเต่าอากาศคงหนาวเย็นเพราะอยู่บนดอย และตอนเช้าๆ
คงมีหมอกปกคลุมผิวน้ำจนขาวโพลน
จากนั้นจึงได้วางแผนและตกลงกับพี่สาวว่าจะมาเที่ยวดอยเต่ากันในวันสิ้นปี 2543
โดยจะขับรถจากกรุงเทพ แวะเชียงใหม่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นจึงค่อยมาดอยเต่า โดยให้
คนที่นั่นเป็นผู้ติดต่อจองแพให้ เพื่อความมั่นใจว่ามีที่พักแน่นอนในคืนวันสุดท้ายของปี
จากเชียงใหม่ใช้ระยะทางประมาณ 125 กม. ก็ถึงดอยเต่า แต่ต้องใช้เวลาเดินทาง
ค่อนข้างนาน เพราะรถติดในแถบชานเมืองที่มีหมู่บ้านจัดสรรผุดขึ้นมากมาย ต่างกับ
เมื่อ 4 ปีก่อนที่ยังมีสภาพเป็นสวนและยังคงสภาพแบบเดิมๆ
มาวันนี้แทบจำอดีตไม่ได้เลย ถนนสายเล็กๆ มีรถราไม่มากนัก ก็สร้างกันใหญ่โตไปจนถึงอำเภอจอมทอง เพื่อรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่มุ่งสู่ดอยอินทนนท์ ซึ่งเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี
ราวเที่ยงวัน ผมก็ขับรถมาถึงดอยเต่า แต่กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องลงรถไปสอบถามชาวบ้านอยู่หลายครั้ง
ดอยเต่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแต่ไม่มีป้ายบอกทางให้ชัดเจน ปัญหาแบบนี้พบเห็นเป็นประจำเมื่อออกเที่ยวในต่างจังหวัด ทำให้รู้สึกว่าในแหล่งท่องเที่ยวแต่ละที่นั้น ยังต้องปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานกันอีกมาก หลายครั้งที่ขับรถไปตามป้ายบอกทางสู่สถานที่สำคัญแต่พอเลยลึกเข้าไป ป้ายก็หายไปซะดื้อๆ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวต้องเดาสุ่มกันเอาเอง เป็นเรื่องน่าเบื่อและน่ารำคาญมาก
เมื่อขับรถพ้นชุมชนที่เป็นอำเภอเล็กๆ จากนั้นก็เป็นถนนขึ้นเนินเขา และไม่ไกลนักก็ถึงทะเลสาบดอยเต่าโดยจะขับรถจากกรุงเทพ แวะเชียงใหม่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นจึงค่อยมาดอยเต่า โดยให้
คนที่นั่นเป็นผู้ติดต่อจองแพให้ เพื่อความมั่นใจว่ามีที่พักแน่นอนในคืนวันสุดท้ายของปี
จากเชียงใหม่ใช้ระยะทางประมาณ 125 กม. ก็ถึงดอยเต่า แต่ต้องใช้เวลาเดินทาง
ค่อนข้างนาน เพราะรถติดในแถบชานเมืองที่มีหมู่บ้านจัดสรรผุดขึ้นมากมาย ต่างกับ
เมื่อ 4 ปีก่อนที่ยังมีสภาพเป็นสวนและยังคงสภาพแบบเดิมๆ
มาวันนี้แทบจำอดีตไม่ได้เลย ถนนสายเล็กๆ มีรถราไม่มากนัก ก็สร้างกันใหญ่โตไปจนถึงอำเภอจอมทอง เพื่อรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่มุ่งสู่ดอยอินทนนท์ ซึ่งเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี
ราวเที่ยงวัน ผมก็ขับรถมาถึงดอยเต่า แต่กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องลงรถไปสอบถามชาวบ้านอยู่หลายครั้ง
ดอยเต่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแต่ไม่มีป้ายบอกทางให้ชัดเจน ปัญหาแบบนี้พบเห็นเป็นประจำเมื่อออกเที่ยวในต่างจังหวัด ทำให้รู้สึกว่าในแหล่งท่องเที่ยวแต่ละที่นั้น ยังต้องปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานกันอีกมาก หลายครั้งที่ขับรถไปตามป้ายบอกทางสู่สถานที่สำคัญแต่พอเลยลึกเข้าไป ป้ายก็หายไปซะดื้อๆ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวต้องเดาสุ่มกันเอาเอง เป็นเรื่องน่าเบื่อและน่ารำคาญมาก
”ไม่น่าเชื่อว่าดินแดนที่เป็นป่าเขาบนที่สูง จะมีทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่โต มันผิดคาดเอามากๆเลยทีเดียว “
ผมรู้สึกแปลกใจกับทะเลสาบที่มีภูเขาโอบล้อมอยู่เบื้องหน้า ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับมาเที่ยวทะเลที่เห็นท้องน้ำเป็นสีครามเข้ม
จะต่างกันตรงที่ไม่มีชายหาดสีขาวและไม่มีคลื่นลมเท่านั้นเอง

แพไม้ไผ่จอดเรียงรายอยู่ริมน้ำ เป็นภาพที่น่าตื่นตาไม่น้อย คล้ายกับหมู่บ้านเรือนแพแบบดั่งเดิม ทั้งแพและเรือหางยาวจอดเรียงต่อ
เนื่องกันอยู่ริมตลิ่งที่มองเห็นน้ำใสสะอาดอยู่เบื้องล่าง แต่อนาคตยังจะเห็นเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า เป็นเรื่องที่ยากจะเดา
” ที่ใดมีนักท่องเที่ยวที่นั้นย่อมมีสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม “
ประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมสำหรับบ้านเรา ที่ต่างคนต่างรุมทึ้ง หาประโยชน์จากสถานที่ท่องเที่ยวจนย่อยยับมานักต่อนักแล้ว
โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่ ที่มักเอาอกเอาใจนักท่องเที่ยว สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อหวังผลทางการค้า แต่ทำไปทำมากลายเป็นทำร้ายตัวเอง และทำลายสภาพธรรมชาติแบบเดิมๆ อันเป็นเสน่ห์ของสถานที่นั้นๆ
ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้ก็คือจิตสำนึกและความเข้าใจในการอนุรักษ์ที่แท้จริง

เที่ยงๆแบบนี่ ขณะที่พี่สาวกำลังรอคอยคนดอยเต่าที่ติดต่อเรื่องแพ
เดินเก็บภาพไปได้หลายภาพในสภาพแสงที่ต้องใช้ ฟิลเตอร์ Polarizing (PL)
กันตลอด เพื่อให้ภาพใส มีน้ำหนักมีสีสันมากขึ้น เมฆขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
จึงเห็นชัดเจนขึ้นตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม หลังจากใช้ PL
บอกว่า “โคตรช้าเอามากๆ”
”ยำปลากรอบ” จานแรกที่สั่ง เป็นปลาเนื้ออ่อนขนาดราว 4 นิ้ว ทอดกรอบแล้วนำมาคลุกกับเครื่องปรุง ซึ่งได้แก่หอมใหญ่ มะม่วงซอย ใบคื่นฉ่าย มะเขือเทศ กับพริกขี้หนูตำ ปรุงออก 3 รส เปรี้ยว หวาน เค็ม กำลังกลมกล่อมพอดี แต่วางให้เห็นหน้าตาได้ไม่นานก็เหลือแต่จานว่างเปล่า สิ่งที่ตั้งใจจะมาทานปลาให้อร่อย ก็เป็นอันว่าลงท้องไปเรียบร้อยสมใจอยาก จานนี้ถ้าจะให้คะแนนก็เอาไปเลย 5 ดาว
จากนั้นอาหารประเภทปลาต่างๆ ก็ทยอยกันมา ปลาเนื้ออ่อนตัวใหญ่ทอดกระเทียม ต้มยำปลาหม้อไฟ ฉู่ฉี่ปลา ในที่สุดปลานานาชนิดจากทะเลสาบ ก็ลงไปอยู่ในท้องกันทุกคนด้วยความหิว ทั้งๆที่เมื่อเช้านี้ก็ล่อข้าวเหนียวกับอาหารพื้นเมืองเหนือกันมาเต็มท้อง
เรานั่งคอยแพที่จองไว้กันอยู่พักใหญ่ และนานจนผิดสังเกต กระทั่งเจ้าของแพมาบอกว่า
“พี่ๆ….เดี๋ยวรอให้เค้าเสร็จก่อน ผมจะเคลียร์แพให้ ลำที่อยู่ข้างๆนี้แหละ”
ผมคะเนดูแล้วคงอีกนานแน่ เพราะลูกค้านักท่องเที่ยวยังนั่งดวดเหล้าอยู่บนแพ โดยไม่มีทีท่าว่าจะจบง่าย เนื้อย่างเกาหลียังเห็นอยู่เต็มเตา ส่งทั้งกลิ่นทั้งควันโชยไปไกล
ผมเดินออกไปหาซื้ออาหารเพื่อเตรียมสำหรับมื้อเย็นและมื้อเช้า ซึ่งยังพอมีเวลาหาซื้อได้บ้าง ได้ปลากรอบมาถุงใหญ่ในราคาที่ถูกมากๆ และได้ปลาสดตัวใหญ่หนักราวกิโลเศษๆมาตัวหนึ่ง ลักษณะออกสีดำ คนขายบอกว่าเหมาะสำหรับทำต้มยำ แต่ถ้าจะเผากินก็อร่อย
“ตอนนี้ขึ้นแพได้เลยครับ เคลียร์แพเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะออกเลย”
เจ้าของแพเห็นผมหายไปนานเลยเที่ยวตามหา
“ ตอนเย็นๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เรามีเรือบริการรับส่งฟรีๆ ขาดเหลืออะไรก็บอกได้ “
็คงเห็นผมหิ้วโน่นหิ้วนี่มาพะรุงพะรังมามาก
ก็คิดว่าเข้าท่าดี ที่มีบริการส่งอาหารจนถึงแพในราคาเดียวกับเมนู เป็นอันว่าของที่จะซื้อเพิ่มเติมก็ต้องเบรคไว้ก่อน ก่อนออกเรือก็ซื้อน้ำขวดมาแพคใหญ่ และได้น้ำแข็งเต็มกล่องโฟมใบเล็กๆที่เตรียมมาด้วย
“เตาปิ้ง เตาย่างและถ้วยโถโอชามละ มีรึเปล่า “
ผมไม่ค่อยแน่ใจเลยต้องถามเจ้าของแพกันก่อน ซึ่งความจริงผมก็เตรียมมาบ้างแล้วในบางส่วน
“ตอนเย็นๆจะมีเรือไปบริการส่งให้ถึงแพเลยครับ เครื่องครัวเรามีให้ทุกอย่าง ที่ปิ้งที่ย่างพร้อมเตาแก็ส...” เจ้าของแพสำทับให้มั่นใจขึ้น
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ออกเรือได้
คนขับเรือหางยาวเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุไม่เกิน 14 ปี ถ้าเรียนหนังสือก็คงราวๆชั้น ม.2 แม้จะดูเป็นเด็กแต่ก็เก่งเกินตัว
ทะมัดทะแมงพอไว้เนื้อเชื่อใจได้เลยทีเดียว ยังนึกในใจว่าเป็นคนไทยหรือเป็นชาวเขากันแน่เพราะพูดไทยชัดถ้อยชัดคำ แต่ยังไงก็คงหนีไม่พ้นลูกหลานดอยเต่าแถวนี้แหละ


แพได้เคลื่อนตัวช้าๆตามเรือหางยาวที่โยงเชือกลากจูงพาออกสู่กลางทะเลสาบ ภาพหมู่แพที่แออัดกันริมตลิ่งเมื่อกี้นี้ก็ค่อยๆทิ้งห่างออกไปทุกขณะ เสียงเพลงจากร้านอาหารบางร้านที่เปิดดังลั่น ก็ค่อยๆแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนแพของเรามาอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลสาบ มองไปรอบตัวก็เห็นแต่ความเวิ้งว้าง
“เราจะอยู่กันกลางน้ำตลอดทั้งคืนเลยนะนี่”
เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างจะดูแปลกไม่น้อยกับสภาพที่มีแต่น้ำรอบตัว และต้องอยู่กันข้ามวันข้ามคืน
ตอนนั้นราวบ่าย 3 โมงเย็น ทุกคนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพหลังจากที่นั่งคุยกันพักใหญ่ หาหนังสืออ่านฆ่าเวลาบ้าง เปิดวิทยุเทป
จากเครื่องเล็กๆแบบพกพาบ้าง ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป
ผมนั่งเอกเขนกชมวิวอยู่นาน ก็เหลือบเห็นสายเบ็ดเก่าๆอยู่หัวแพ จึงนำมาแกะเพื่อใช้ประโยชน์ในยามว่าง และก็ได้ใช้จริงๆ มีปลาตัวเล็กๆติดเบ็ดมาบ้างพอให้ตื่นเต้นกันชั่วครั้งชั่วคราว ความจริงที่นี่ก็มีปลาเยอะและเป็นแหล่งปลาที่อุดมสมบูรณ์ แต่พวกเราไม่ใช่นักตกปลาและไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลย จึงไม่ได้นึกถึง หากคนที่ชอบตกปลามาเห็นสภาพนี้แล้วก็คงไม่ผิดหวังแน่ และคงได้ปลามาทำอาหารกันแบบสดๆ


ไม่นานพระอาทิตย์เริ่มทอดแสงลงมาจนส่องถึงกลางลำเรือ จึงต้องขยับตัวหลบหนีไปทางอื่น หลบไปหลบมาก็โดนแดดอีกจนได้
เพราะเรือมันหมุนไปตามแรงลมและกระแสน้ำ จนขยับเข้ามาใกล้แพที่อยู่ข้างเคียงซึ่งห่างกันไม่เกิน 70 เมตร และก็ต้องทนฟัง
เครื่องขยายเสียงที่เปิดดิ้นกันอย่างไม่เกรงใจใคร เลยอดไม่ได้ที่จะขอเอากล้องส่องทางไกลมาดูหน้าดูตากันหน่อย
“เวรกรรม” มีวัยขาโจ๋ ชักดิ้นชักงออยู่หน้าลำโพงตัวใหญ่ 3-4 คน ที่เหลือก็เห็นนั่งๆนอนๆและเป็นวัยกลางคนด้วยกันทั้งนั้น แถมมี
คุณยายนุ่งผ้าซิ่นสีเขียวนั่งปล่อยอารมณ์ที่ข้างแพอยู่ด้วย ก็แปลกดีที่ไม่เห็นมีผู้ใหญ่คนไหนรำคาญ สงสัยจะยอมให้ลูกๆหลานๆมา
ปล่อยผีปล่อยเปรตกันวันสิ้นปี มันก็เลยดิ้นกันมันส์หยด
“เออ…ขอให้แพมันแตกซะทีเถ๊อะ….จะสมน้ำหน้ามัน….” เป็นเสียงบ่นมาจากบนแพ ซึ่งคงแค้นเหลือทน
เหล้าบางๆ โดยไม่ต้องมีกับแกล้มอื่นให้ยุ่งยาก สร้างความเอร็ดอร่อยให้กับอารมณ์ในยามแดดร่มลมตกได้ดีทีเดียว
อาจเป็นความฝันของหลายๆคนที่อยากได้บรรยากาศดีๆ สงบๆ กับคนรู้ใจ ที่พากันมานั่งทอดอารมณ์ หาความสุขกันแบบสองต่อสองโดยปราศจากการรบกวนด้วยสายตาจากบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ ที่นี่บรรยากาศดี เงียบ สงบ และปลอดภัย (ขอบอก)

เราแน่ จนป่านนี้ก็ไม่มีวีแววว่าจะมาสักที ไหนจะเรื่องอาหารและอุปกรณ์ทำกับ
ข้าวที่ยังขาดอยู่ และยังมีเรื่องไฟฟ้าแสงสว่างที่ยังเปิดไฟไม่ได้ เพราะขาดแบต
เตอร์รี่ เวลานั้นจึงต้องอาศัยไฟฉายที่พกกันมาเองแก้ขัดไปพลางก่อน
พวกเราตกลงกันว่าคงต้องเตรียมอาหารกัน เพราะสถานการณ์เริ่มมีความไม่
แน่นอน จากนั้นก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ อันดับแรกคือปลาเผาต้องจัดการก่อน
เพราะตัวใหญ่มากและคงใช้เวลานาน
ปลากรอบก็นำมาอังไฟให้หอม แล้วแกะเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อเตรียมทำยำ ซึ่งยังติดใจไม่หายในมื้อกลางวัน ส่วนเครื่องปรุงก็เตรียมกันมา ไม่มีขาด ทั้งของสดของแห้ง ไม่ว่า มะนาว พริก หอม กระเทียม หรือซ้อสปรุงรสพวก ซีอิ้ว น้ำปลา และอื่นๆ ซื้อมาแบบขวดเล็กๆ จะได้ไม่หนักรถ
เพียงแค่กระป๋องเดียวก็สามารถทำอาหารได้หลายมื้อ ซึ่งพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี้แหละไฟร้อนไฟแรงเหลือกินจริงๆ
โดยปกติการเดินทางท่องเที่ยวในลักษณะต้องช่วยตัวเองแบบนี้ ก็มักจะตระเตรียมสิ่งจำเป็นยัดลงกล่องไว้ท้ายรถ ไม่ว่าจะเป็นจาน
ช้อน ซ่อม มีด เขียงใบเล็ก ตะแกรงย่าง กรรไกรอเนกประสงค์ที่ทำได้สารพัดประโยชน์ ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้เตรียมมาแบบฉบับย่อเป็นชุดเล็ก แต่ทุกอย่างถูกใช้อย่างคุ้มค่ากับการที่ต้องขนกันมา เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกและออกรสชาติ บางครั้งก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นจานข้าวไม่พอ ก็ต้องนำกระดาษฟอยส์มาดัดแปลงทำเป็นรูปจานหรือถ้วย ซึ่งใช้ได้ดีไม่มีปัญหา และดีกว่าจานกระดาษหรือโฟม ด้วยซ้ำไปเพราะสามารถทานอาหารประเภทน้ำแกงได้และปลอดภัยกว่า


ขณะกำลังช่วยกันทำอาหาร ผมก็ต้องปลีกตัวไปถ่ายภาพต่อ เพื่อหาวิวสวยๆในยามเย็น จนดูแล้วว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วจึงเก็บ
กล้องและอุปกรณ์
ขณะกำลังสาละวนเก็บของอยู่นั้น ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ข้างหลัง
ท้องฟ้า…โอ สวยจัง เหมือนปุยนุ่นเป็นหย่อมๆ มีแสงสีทองลอดผ่านกลุ่มเมฆเหล่านั้น มันแปลกและสวยมาก กลุ่มเมฆค่อยๆแยก
จากกันออกเป็นปุยเล็กๆจนเต็มท้องฟ้า สวยขึ้น สวยขึ้น ทุกขณะ
ผมรีบจัดแจงตั้งขาตั้งกล้องทันทีด้วยความดีใจและรีบเร่ง เพราะกลัวจะถ่ายไม่ทัน เพราะขณะนั้นแสงค่อนข้างน้อยจนต้องหันมาพึ่ง
ขาตั้งกล้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพ
ผมหยิบกล้องที่ถ่ายฟิล์มสี ISO 100 ใส่ขาตั้งก่อน เมื่อวัดแสงเฉลี่ยแล้วได้ 1/30 วิ. โดยเปิดหน้ากล้องกว้างสุด ถือว่าคาบเส้นพอดี
เอาละ...ยังไงต้องกดชัตเตอร์ภาพแรกให้ได้ก่อนในช่วงนาทีทอง จากนั้นกล้องสองตัว ฟิล์มสี และฟิล์มสไลด์ Velvia ISO 50
ก็ทำงานสลับไปมา โดยบางภาพได้สวมฟิลเตอร์ PL เข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับกลุ่มเมฆ
ครั้งนี้เป็นการถ่ายภาพที่ออกจะตื่นเต้น ดีใจ พอใจไม่น้อย เพราะแสงน้อยมากจนยากที่ถ่ายได้ในขณะที่อยู่บนแพ เพราะยังไม่นิ่งพอ
ภาพจากท้องฟ้าในเย็นวันนี้ ถือเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบที่อยากพบอยากเห็นมานานแล้ว ไม่ง่ายนักที่จะพบกับภาพสวยๆแบบนี้
ในขณะที่มีกล้องถ่ายภาพอยู่ในมือ
"ดอยเต่า" เพียงภาพชุดนี้ชุดเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนแล้ว


ผมเก็บกล้องและอุปกรณ์หลังจากที่ท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว บรรดาญาติๆต่างกำลังง่วนอยู่กับปลาเผาและตระเตรียมอาหารมื้อเย็น
โดยไม่มีใครสนใจภาพที่ปรากฏบนท้องฟ้า
ปลาสุกแล้ว กลิ่นหอมฉุยเลย ยังไงก็ต้องสุกแน่นอนเพราะพลิกไปมาอยู่หลายครั้ง น้ำจิ้มปลาก็ทำแบบง่ายๆ เอาพริก เอากระเทียม
มาซอยให้ย่อยแล้วบี้ๆกับช้อนพอแหลกในแก้วกาแฟ บีบมะนาว เติมน้ำปลา น้ำตาล อีกหน่อย ก็เป็นอันจบ งานนี้ผมขอปรุงเอง
เพราะค่อนข้างจะถนัดอยู่แล้ว ได้น้ำจิ้มมาค่อนแก้วกาแฟรับรองพอแน่ๆกับปลาตัวโตขนาดกิโลกว่า จากนั้นก็ทำพิธีเปิดบริสุทธิ์กับ
ปลาเผาที่นั่งลุ้นกันนานนับชั่วโมง และเป็นการแกะปลาออกจากกระดาษฟอยส์ที่ออกจะดูตื่นเต้นกว่าการกินปลาทุกครั้ง
ทุกคนต่างเฝ้ามองกับอาหารจานโปรดที่ถือเป็นพระเอกของมื้อนี้ ต่างหยิบช้อนซ่อมและเตรียมบรรเลงพร้อมกัน
โอ้โฮ…เนื้อเหลืองอ๋อยอล่องฉ่องและสุกทั่วทั้งตัว จากนั้นพวกเราก็ลงมือพร้อมกันอย่างเอร็ดอร่อย
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลิ้มรสปลาเผาตัวใหญ่จากทะเลสาบดอยเต่า เป็นปลาที่ไม่เคยทานมาก่อน เนื้อยุ่ย นุ่มๆ แต่ก็อร่อยมาก
ยิ่งมาได้กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านที่ปรุงสุดฝีมือด้วยแล้ว เห็นที่คงไม่ต้องบรรยายกันมาก
นั่งทานกันไปคุยกันไปอยู่เพลินๆเจ้าเด็กดอยเต่าคนขับเรือ 2 คนเดิม ก็แล่นเรือมาเทียบข้างแพแบบเงียบ ท่ามกลางความมืด ยกลำโพง ตัวใหญ่ขึ้นมาจากเรือ พร้อมกับแบตเตอร์รี่ลูกใหญ่ที่ใช้กับพวกรถสิบล้อ เพื่อใช้เป็นไฟส่องสว่างกับหลอดนีออนที่มีอยู่ดวงเดียว และใช้เป็นพลังงานของชุดเครื่องเสียง จากนั้นก็ยกเครื่องครัวชุดใหญ่ตามมา และเป็นชุดใหญ่กันจริงๆ กะทะใบเบ่อเร่อ ตะหลิ๋วด้ามไม้ อันใหญ่ หม้อไห ถ้วยจาน ก็ใบใหญ่ชนิดที่ไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนัก แต่ทั้งหมดก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับมื้อนี้แล้ว
ก่อนจากไปก็ต้องโดนต่อว่าต่อขานกันหน่อยที่บริการไม่เอาไหน กว่าจะมาได้ก็ค่ำมืด สู้แพอื่นไม่ได้ที่มีเรือวิ่งบริการตลอดเวลา
คืนนั้นผมก็ตักน้ำอาบกันข้างแพนั้นแหละ แค่ขันแรกที่ตักรดตัวก็หนาวสั่นเอาเรื่อง น้ำไม่ได้เย็นมากหรอกแต่ลมนี่ซิ
พัดเย็นจนหนาวสะท้าน คนอื่นเห็นผมออกอาการจึงไม่มีใครยอมอาบ เลยถือโอกาสซักแห้งไปอีกวัน
ค่ำคืนนี้พวกเรานอนหลับกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย มีแสงจันทร์ส่องสะท้อนน้ำพลิ้วไหวเป็นประกายระยิบระยับ
หากจะเปรียบเทียบกับเมื่อ 2 คืนก่อนที่อยู่กรุงเทพมันคงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง การปลีกตัวจากเมืองหลวงที่ดูสับสนมานอนดูพระจันทร์ อันสุกใสกลางทะเลสาบ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับแสงระยิบระยับที่สบายตา เหมือนนั่งฟังดนตรีซิมโฟนี่วงใหญ่ ที่เห็นเครื่อง ดนตรีแต่ละชิ้นกำลังบรรเลงบทเพลงอันแสนไพเราะและลึกซึ้งกินใจ
ดูเป็นค่ำคืนที่ให้ความรู้สึกดีๆกับตัวเองไม่น้อย และใครก็ตามที่มีโอกาสพาตัวเองมาอยู่ในสถานที่เป็นธรรมชาติและดูสงบแบบนี้
ี้ ก็เชื่อว่า คงได้ซึมซับสิ่งดีๆกลับไป อย่างน้อยก็เป็นการผ่อนคลายจิตใจจากชีวิตประจำวัน ที่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ยากเต็มที
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงพลุและประทัดกลางดึก ก็เป็นการจุดเอาฤกษ์ต้อนรับปีใหม่จากแพลำอื่น ได้ยินเสียงวิทยุ จากสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยที่พี่สาวเปิดเสียงเบาๆไว้ทั้งคืน ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดจาดวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เสียงพระสวดสลับกับเสียงโฆษกที่นับ ถอยหลังบอกเวลาเป็นช่วงๆเมื่อใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืน จนกระทั่งเวลา 24.00 น.หรือเที่ยงคืนพอดี ก็มีเสียงเคาะระฆังวัดดังกังวาน พร้อมกับการอวยพรสวัสดีปีใหม่ 2544 จากโฆษกที่ได้ยินเสียงคุ้นหูเป็นประจำ จากนั้นก็ได้ยินเสียงจุดประทัด จุดพลุ จากแพบางลำใน ทะเลสาบ รวมทั้งได้ยินทั้งเสียงปืนและประทัดจากหมู่บ้านที่อยู่บนฝัง
“สวัสดีปีใหม่ทุกๆคนครับ" เสียงตะโกนจากแพที่อยู่ใกล้กัน ที่ผมด่าเช็ดไปเมื่อเย็นวานนี้ ตะโกนดังมาเป็นระยะๆ ตอนเช้ามืดราวตีห้า เดาเอาว่าคงไม่หลับไม่นอนกันทั้งคืน
เช้านี้ผมตื่นก่อนใคร อาจเป็นเพราะเสียงโหวกเหวกจากแพที่อยู่ใกล้กัน เลยหลับๆตื่นๆ
ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็มาตั้งน้ำร้อนชงกาแฟ ที่เตรียมอุปกรณ์และเม็ดกาแฟบดมาด้วย กาแฟส่งกลิ่นโชยหอมไปทั่ว
มันเป็นความสุขอีกครั้งหนึ่งของการเดินทาง ที่มีโอกาสได้ซดกาแฟอร่อยๆในบรรยากาศที่ถูกใจเช่นนี้
ผมมโนภาพไว้สวยหรูก่อนเดินทางมาดอยเต่าว่า คงมีหมอกปกคลุมทะเลสาบในยามเช้า มีน้ำค้างกำลังก่อตัวเป็นไอลอยละล่องเหนือผิวน้ำ ในขณะมีแสงแดดอ่อนๆ แต่เช้านี้มันคนละเรื่องกันเลยทีเดียว แถมสภาพอากาศก็ไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพมากนัก เพียงรู้สึกว่าจะเย็นกว่า นิดหน่อยเท่านั้นเอง

อาทิตย์ ซึ่งก่อนหน้านี้บรรยากาศในทะเลสาบจะดูอืมครึม มีหมอกบางๆเหมือน
ฟ้าหลัวและไม่ค่อยจะมีอะไรให้ถ่ายภาพนัก
แต่หลังจากมีแสงอาทิตย์สาดส่องมาแล้ว ภาพที่เห็นก็ค่อยๆดูอุ่นขึ้นมีแสงสีขึ้น
มาบ้าง จนกระทั่งได้เวลา 8.30 น. เรือหางยาวก็มาลากแพกลับเข้าฝั่งตาม
เวลาที่นัดหมายไว้
ผมมีเวลาอุดหนุนปลาย่างจากร้านค้าของชาวบ้านที่ปลูกเพิงเรียงเป็นระเบียบอยู่บนตลิ่งซึ่งมีอยู่ประมาณยี่สิบกว่าร้าน โดยปลูกเป็นเพิงเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบ เช้านี้ยังพอมีเวลาจึงถือโอกาสเดินสำรวจการทำปลา ตั้งแต่การตัดหัวควักไส้ และนำมาวางเรียงตากแดดบนตระแกรงลวด รวมไปถึงการนำมาเข้าห้องรมควันโดยใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ปลาทุกชนิดที่ตากแห้งและวางขาย เป็นปลา พื้นเมืองจากทะเลสาบ ได้แก่ ปลาช่อน ปลาซิว ปลาแปบ ปลาเนื้ออ่อน ปลากด ปลาสะวาด โดยชาวดอยเต่าจะออกไปหาปลาในตอนเย็น และกลับเข้าฝั่งในวันรุ่งขึ้น
ปลาที่เตรียมขายให้นักท่องเที่ยวก็จะแพคในถุงพลาสติคใสอย่างเรียบร้อย ป้องกันฝุ่นและแมลง ส่วนที่เป็นปลาสดๆเป็นๆ
แม่ค้าบอกว่าจะมีพ่อค้ามารับซื้อไปขายในเมือง


ป้า เอี่ยม จิตรกร ซึ่งเป็นเจ้าของแพธารทองเล่าให้ฟังว่า
” เดิมทีชาวเขาดอยเต่านี้จะอาศัยอยู่ที่ลุ่มบริเวณที่เป็นทะเลสาบข้างหน้านี้แหละ แต่หลังจากสร้างเขื่อนภูมิพลแล้ว น้ำได้ไหลบ่าท่วม ที่อยู่อาศัยของราษฎร จึงได้อพยพมาตั้งรกรากกันอยู่ข้างบน ยามน้ำแห้งหรือหน้าแล้งก็จะลงไปปลูกผักสวนครัวกัน และทำกันเช่นนี้ มาเป็นเวลานาน “
“ แต่ในราวปี 2536 –2537 มีการสร้างแพขึ้นมาทำเป็นร้านอาหารและแพที่พัก จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากันมาก การจับปลา ในทะเลสาบจึงเป็นธุรกิจมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวดอยเต่าไม่ค่อยจะได้รับประโยชน์จากทะเลสาบเท่าใดนัก “
ป้าเอี่ยม จิตรกร ได้เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังสร้างเขื่อนภูมิพลเมื่อปี 2507 หมู่บ้านดอยเต่าที่อยู่บริเวณข้างล่างทะเลสาบ ก็ได้ย้าย
ถิ่นฐานขึ้นมาที่สูงไม่ห่างจากทะเลสาบเท่าใดนัก “แพธารทอง” ซึ่งเป็นของแม่เอี่ยม เป็นแพแห่งแรกของที่นี่ สร้างเมื่อปี 2518
เพื่อทำธุรกิจร้านอาหารต้อนรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งมีบริการให้เช่าแพเป็นที่พักค้างแรมด้วย จนถึงปัจจุบัน ีชาวบ้านดอยเต่าหันมาทำ ธุรกิจด้านนี้มากขึ้น
ปัจจุบันมีเรือลำใหญ่จุคนได้ราว 60-70 คน บริการพาชมทิวทัศน์รอบๆทะเลสาบ มีทั้งแบบเหมาลำหรือคิดเป็นรายหัว
ซึ่งตกคนละ 25 บาท (ราคาปี 2544 )
การมาเที่ยวดอยเต่าให้ได้อรรถรสกันจริงๆแล้ว เหมาะสำหรับมาเที่ยวเป็นหมู่คณะ ยิ่งเป็นครอบครัวใหญ่ก็ยิ่งสนุก และใช้เวลา
อยู่ที่นี่ด้วยการนั่งเรือชมทิวทัศน์ ตกปลา เล่นน้ำ เล่นไพ่ กินเหล้า ทำกับข้าว ซึ่งการทำกับข้าวและทานอาหารบนแพกลางทะเลสาบนี้ เป็นความสุข เป็นความอบอุ่นของครอบครัวและหมู่คณะเลยทีเดียว
สวัสดีครับ
webmaster

..............................................................................................................................
ข้อมูลการเดินทาง
ดอยเต่าอยู่ห่างจากเชียงใหม่ประมาณ 125 กม. มาตามถนนหมายเลข 61867
อัตราค่าเช่าแพ (ราคาเมื่อปี 2544)
แพขนาดใหญ่(สำหรับ 20 คน) : ราคาปกติ 800 บาท ช่วงเทศกาลราคา 1500 บาท(เช้าไปเย็นกลับ) แต่ถ้าค้างคืนราคา 1800 บาท
แพขนาดเล็ก( 8-9 คน) : ราคาปกติ500-600 บาท ช่วงเทศกาลราคา 800 บาท(เช้าไปเย็นกลับ) แต่ถ้าค้างคืนราคา 1000 บาท
บนแพจะมีห้องน้ำ ห้องนอน ซึ่งมีทั้งเตียง ผ้าห่ม หมอน มุ้ง และมีบริเวณไว้ให้ทำกิจกรรม
นอกจากนี้ยังมีเครื่องครัวให้สำหรับทำอาหารรับประทานเองหรือจะสั่งอาหารจากแพก็ได้โดย
ราคาอาหารเท่ากับราคาเมนูในร้าน โดยไม่คิดค่าส่ง และยังมีเครื่องเสียงไว้บริการอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ต้องการชมทัศนีย์ภาพบริเวณรอบทะเลสาบ
บริการเรือนำเที่ยวซึ่งสามารถจุคนได้ 60-70 คนโดยคิดราคาเป็นชั่งโมง ชั่วโมงละ 1000 บาท แต่ถ้าหลายชั่วโมงราคาจะลดลง
ถ้าเป็นช่วงเทศกาลจะคิดเป็นรายหัว โดยถ้าจำนวน 30 คนขึ้นไป จะคิดคนละ 25 บาท
ติดต่อแพธารทอง
053-469030 หรือ 01-9511503
..............................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น